วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

การโพสท่า

การโพสท่า

จริง ๆ แล้ว การยืนตรง ๆ ก็ถือว่าเป็นการโพสท่าชนิดหนึ่ง แต่ว่าเนื่องจากคนใช้กันเยอะแล้ว อาจจะน่าเบื่อ ดังนั้นในบล็อกนี้ ผมจะลองนำเสนอไอเดียอื่น ๆ ให้นำไปลองใช้ดูบ้างนะครับ

การโพสท่าถ่ายภาพ สูตรของผม ง่ายนิดเดียวครับ อย่ายืนตรง ๆ เหมือนเคารพธงชาติ แค่นั้นจบ . . .

วันนี้จะมีเทคนิคและท่าง่าย ๆ สำหรับการถ่ายภาพมาแชร์นะครับ การยืนถ่ายภาพ ไม่ควรยืนจังก้า หันหน้าเข้ากล้องตรง ๆ ควรบิดซ้าย หรือบิดขวา หันข้างให้กล้อง หรือทำไหล่ 2 ข้างให้ไม่เท่ากัน (แล้วแต่จะคิดออกนะครับ) รูปติดบัตรหน้าตรง มีกันเยอะแล้ว อันนี้เราถ่ายเพื่อความบันเทิง ภาพที่ออกมา มันต้องแฝงไว้ด้วยความสนุกนิดหน่อยครับ . . . .

วันก่อนไปงานแต่งงาน ช่างภาพมืออาชีพ เดี๋ยวนี้เค้าประยุกต์แล้วครับ เมื่อก่อนจะให้ยืนเรียงเฉย ๆ เรียงหน้ากระดานแล้วถ่าย แต่เดี๋ยวนี้มีการสอนให้ทำท่าต่าง ๆ ด้วยครับ วันนี้ผมจะมาเขียนเกี่ยวกับเรื่องมือก่อนครับ เท่าที่ดู ๆ มา คนไทยนิยมใช้มือทำท่าอยู่ 4 ท่า ง่ายๆ ดังนี้คือ

1. ท่าชู 2 นิ้ว อันนี้เป็นท่าสิ้นคิดเลยครับ แต่ก็ยังดีกว่ายืนเอาแขนแนบลำตัวไว้เฉย ๆ ถือว่าเป็นท่าบังคับที่เป็นที่นิยมอันดับแรก

ท่าชู 2 นิ้ว จำง่าย ถ่ายสบาย

2. ท่า I Love You เป็นท่าที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน ทำโดยการแบมือออกมาแล้วหุบนิ้วนางกับนิ้วกลางเข้าไป เหลือไว้แค่ 3 นิ้วเท่านั้น ท่านี้ดารานักร้องไทยใช้กันบ่อยครับ แต่ปัจจุบัน พวกเราคนธรรมดาก็เริ่มเอามาใช้กันบ้างแล้ว แต่สำหรับต่างประเทศ อันนี้ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ

ท่า I Love You 

3. ท่า Like ทำง่าย ๆ ครับ ก็คือการชูนิ้วโป้งอย่างเดียว สมัยก่อนเรียกท่านี้ว่าท่ายอดเยี่ยม แต่พักหลัง ๆ เฟซบุ๊คดังมาก และใช้สัญลักษณ์นี้ในการกด Like จึงทำให้ท่านี้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น ท่า Like

ท่า Like 

4. ท่าชูกำปั้น หรือที่ช่างภาพเรียกว่า ท่าเย้ หรือ Oh Yeah! หรือท่า YES เป็นท่าที่แสดงความดีใจ คิดว่าคงแผลงมาจากคำว่า Yes! ที่เรามักเห็นในหนังฝรั่ง เวลาทำอะไรสำเร็จแล้วสะใจ จะชูกำปั้น แล้วร้องว่า Yes อยู่บ่อย ๆ

ท่าชูกำปั้น

อย่านึกว่าท่านี้ไม่ดังนะครับ ท่านี้เป็นท่าที่เวลาถ่ายหมู่หลาย ๆ คน แล้วมีการนัดแนะกันไว้ก่อน จากนั้นตากล้องจะเป็นคนนับ 1 - 2 - 3 พอจังหวะที่ 3 ให้ทุกคนร้องเย้ พร้อม ๆ กัน (ทำท่าเหมือนดีใจมากโดยไม่ทราบสาเหตุ) . . . ผลลัพธ์คือภาพที่ออกมา จะดูเป็นธรรมชาติมากเลยนะครับ ยังไงลองไปทำกันดูนะครับ ถือว่าเป็นเทคนิคที่ใช้ได้ผลทีเดียว . .

ถึงแม้มือจะอยู่ข้างล่าง แต่ผมไม่มียอมยืนตรง ๆ เด็ดขาด

สังเกตว่า ไม่ว่าจะทำท่าอะไร จะพยายามไม่ยืนตรงแน่นอน จะต้องมีเอียง มีโน้มตัว หรือบิดตัว เอียงซ้าย เอียงขวา หรืออะไรซักหน่อย (เพราะรูปติดบัตรมีเยอะแล้ว ไม่อยากได้อีก) คนอื่น ๆ ก็เหมือนกันครับ (ใจเขาใจเรา) แต่บางที เริ่มถ่ายใหม่ ๆ ดังนั้น เราในฐานะตากล้อง ต้องมีหน้าที่แนะนำคนที่เราถ่ายด้วยว่า จะให้เค้าทำท่าอะไร บางทีเราก็นึกไม่ออก เค้าก็จะชอบถามว่าให้ทำท่าอะไร เราก็ควรแนะนำท่าง่าย ๆ ให้ตัวแบบทำมือทำไม้ซัก 4-5 ท่านี้ไปก่อน พอถ่ายไปได้ซักพัก รับรองเดี๋ยวท่าอื่น ๆ จะออกมาเองตามธรรมชาติ . . .

บางครั้ง ใช้มือทำ 4 ท่าที่แนะนำไปเบื่อแล้ว เราก็คิดท่าใหม่ ๆ ขึ้นมาเองก็ได้

ส่วนวิธีการขั้นแอดวานซ์ อันนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลครับ

บล็อกต่อไป จะมาเขียนเกี่ยวกับท่ายืน ท่านั่ง และการใช้เก้าอี้ประกอบครับ

ส่วนใครพอเข้าใจพื้นฐานแล้ว ก็ต้องนำไปประยุกต์เองนะครับ. . .

อุปกรณ์
Nikon D800
Canon EOS 5D Mark III

แสง

แสงกับการถ่ายภาพ

จริง ๆ เรื่องนี้ ถ้าเป็นหนังสือที่วางขายตามร้านหนังสือ เราควรเขียนเป็นเรื่องแรกเลยด้วยซ้ำ แต่นี่ของเราเป็นบล็อก เลยตามใจคนเขียนนิดหน่อย นึกเรื่องอะไรออก ก็เขียนเรื่องนั้น . . . 


การถ่ายภาพ หรือภาษาอังกฤษว่า Photography คือ การวาดภาพด้วยแสง  แสงเปรียบเหมือนสีที่จิตรกรใช้ในการวาดภาพ ถ้าเรามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแสงอย่างถ่องแท้ ลึกซึ้ง และทราบเทคนิคการเก็บแสงสีเป็นอย่างดี แน่นอนว่า เราจะได้ภาพสวย ๆ อย่างแน่นอน ดังนั้น "แสง" จึงมีความจำเป็นที่สุดต่อการถ่ายภาพ เหมือนจิตรกร ถ้าไม่มีสี ไม่ว่าจะเป็นสีน้ำ สีเทียน สีน้ำมัน หรือสีต่างๆ ก็ไม่รู้จะวาดภาพยังไง . . . เราก็เช่นกัน ถ้าไม่มีแสง ไม่ว่าจะแสงอาทิตย์ แสงเทียน แสงจากหลอดไฟ หรือแสงจากดวงจันทร์ ก็ไม่รู้จะถ่ายภาพยังไง ฉันใดก็ฉันนั้น . . .  

อันนี้เป็นความจริง สำหรับช่างภาพเลยนะครับ พึงระลึกไว้เสมอ

* ถ้าไม่มีแสง ก็ไม่ต้องถ่าย *
* ถ้าแสงไม่สวย ถ่ายออกมาก็ไม่สวย *
* ถ้าแสงธรรมชาติไม่มี ใช้แสงประดิษฐ์ได้ไหม? *

บล็อกนี้ ผมจะอธิบายเนื้อหาเกี่ยวกับแสงนะครับ เริ่มต้นด้วยประเภทของแหล่งกำเนิดแสงกันก่อน

แสงธรรมชาติ - คือแสงที่ได้จากดวงอาทิตย์ (หรือบางครั้งอาจเป็นดวงจันทร์) นั่นเอง แสงธรรมชาติเป็นแหล่งกำเนิดแสงที่ให้สีถูกต้องสวยงามเป็นธรรมชาติมากที่สุด

อุปสรรคของการใช้แสงธรรมชาติถ่ายภาพ คือมักไม่สามารถกำหนด หรือบังคับแสงให้ไปในทิศทางที่เราต้องการ หรือไม่สามารถควบคุมปริมาณความเข้มของแสงได้ ทำได้อย่างดีแค่ดัดแปลงนิดหน่อย เช่น การใช้รีเฟล็กซ์สะท้อนแสงอาทิตย์ เพื่อไม่ให้นางแบบของเราโดนแสงที่แข็งเกินไป (ทำให้ไม่สวย) เป็นต้น ผมมีเขียนไว้ในอีกบล็อกนึงอยู่แล้วนะครับ ลองไปหาอ่านกันดู

นอกจากนี้เรายังไม่สามารถบังคับให้ฟ้าสวย หรือบังคับให้มีเมฆมาก หรือทำให้แสงนุ่ม แสงแข็ง หรือเป็นไปตามที่เราต้องการได้ ทุกอย่างแล้วแต่ดวงทั้งสิ้น ดังนั้นการถ่ายภาพด้วยแสงธรรมชาติ จึงต้องมีการวางแผนมาเป็นอย่างดี เนื่องจากสภาพแสงมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

แสงประดิษฐ์ - คือแสงที่ได้จากสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ เช่นแสงจากหลอดไฟฟ้า แสงแฟลช การถ่ายภาพด้วยแสงประดิษฐ์จะสามารถควบคุมทิศทางความเข้ม ตลอดจนตำแหน่งของแหล่งกำเนิดแสงได้ ซึ่งทำให้ได้รับความสะดวกกว่าการใช้แสงธรรมชาติ

แสงประดิษฐ์ แบ่งเป็นชนิดต่าง ๆ ดังนี้

- แสงประดิษฐ์ในสิ่งแวดล้อม เช่น ไฟตามท้องถนน ไฟในสถานที่ สำหรับแสงประเภทนี้ เราควบคุมอะไรไม่ได้ครับ ทำได้อย่างดีที่สุด ก็คือย้ายตัวเองไปยังตำแหน่งที่เราจะได้แสงที่ต้องการ (เลือกมุมแสง หรือหาทิศทางแสง) พูดง่าย ๆ คือ เล่นกับทิศทางแสงนั่นเอง

- แสงที่คนถ่ายเป็นผู้ประดิษฐ์เอง เช่น แฟลชติดหัวกล้อง แฟลชแยก ไฟสตูดิโอ อันนี้เราจัดวางได้ตามสบายเลยครับ ยิ่งมีอุปกรณ์เยอะ ยิ่งได้เปรียบ (แต่ก็เปลืองเงินนะครับ) เราสามารถวางแสงเพื่อถ่ายแบบ ตามแสง ย้อนแสง ทำไรผม แสงข้าง แสงเพื่อถ่ายแนวเรมบรันต์ หรืออะไรก็ได้ สุดแท้แต่ . . .

ในหัวข้อต่อ ๆ ไปจะมีการอธิบายเกี่ยวกับการใช้แฟลช ทั้งแฟลชติดหัวกล้อง แฟลชแยก แฟลชหลายตัว หรือการใช้ไฟสตู (หรือไฟสตูดิโอ ช่างภาพเค้านิยมเรียกกันสั้น ๆ แบบนี้นะครับ)

การเปลี่ยนเลนส์

บล็อกนี้ ผมจะมาแนะนำเรื่องการใส่เลนส์ หรือการเปลี่ยนเลนส์อย่างถูกวิธี เพื่อไม่ให้ฝุ่นเข้ากล้อง


การใช้กล้อง DSLR เนื่องจากเป็นกล้องที่สามารถเปลี่ยนเลนส์เองได้ ดังนั้น หากเราไม่ระวัง ฝุ่น และสิ่งสกปรกต่าง ๆ ก็จะปลิวเข้าไปเกาะเซนเซอร์กล้องเราได้ง่าย ปกติถ้าไม่ขยายภาพมากจะไม่เห็นครับ แต่ถ้าบังเอิญถ่ายพวกท้องฟ้าใส ๆ หรือภาพที่สว่าง ๆ จะเห็นเป็นดวง ๆ บนท้องฟ้า ซึ่งบอกได้ชัดเจนว่าเป็นฝุ่น หากเราถ่ายไปหลาย ๆ ภาพแล้ว ดวง ๆ เหล่านั้นอยู่ที่เดิม ก็หมายความว่าเกิดจากฝุ่นอย่างแน่นอน ดูภาพแล้ว ความสวยงามลดลงไปเยอะเลยครับ

สำหรับวิธีแก้ ก็คือต้องใช้ผู้ชำนาญเป่าฝุ่นออกให้ หรือจะเป่าเองก็ได้ ส่วนวิธีการเป่าฝุ่น เดี๋ยวผมค่อยเขียนบล็อกแนะนำในบล็อกถัดไปแล้วกันครับ


ข้อควรปฏิบัติในการเปลี่ยนเลนส์
  • ควรหาสถานที่ซึ่งอากาศนิ่ง ไม่มีลมเป่า ไม่มีพัดลม หรือแอร์เป่าลงมาโดน
  • ปิดสวิตช์กล้องก่อน สำหรับข้อนี้ ที่ร้านขายกล้องแนะนำมานะครับ เพราะบริเวณคอนแทคนั้นเป็นวงจรไฟฟ้า หากจู่ ๆ เราบิดเข้าออก อาจทำให้เกิดการลัดวงจรได้
  • คว่ำกล้องลง โดยให้เลนส์ชี้ลงที่พื้น เพื่อให้ฝุ่นเข้าได้ยากขึ้น เพราะปกติฝุ่นจะตกจากบนลงล่าง ยกเว้นซวยจริง ๆ ฝุ่นจึงปลิวจากด้านล่างขึ้นด้านบน (ลมกรรโชก)
  • ถอดเลนส์ออก รีบเอาฝาจากเลนส์ที่จะเปลี่ยน หมุนปิดเลนส์ที่ถอดออกมาให้เรียบร้อย
  • ใส่เลนส์ใหม่เข้ากับกล้อง ด้วยความรวดเร็ว . . . ถ้าเป็นเลนส์ EF ให้จุดสีแดงตรงกับจุดสีแดง ถ้าเป็นเลนส์ EF-S ให้จุดสีขาวตรงกับจุดสีขาว ส่วนเลนส์ Nikkor จะเป็นสัญลักษณ์จุดสีขาวเช่นเดียวกัน สำหรับเลนส์แคนนอนและนิคอน หมุนกันคนละข้างนะครับ ใครที่ใช้กล้องยี่ห้อเดียวคงไม่สับสนและจำได้ว่ายี่ห้อตัวเองหมุนด้านไหนครับ
  • เปิดสวิตช์กล้อง

ข้อควรระวังในการเปลี่ยนเลนส์
- ไม่ควรเปลี่ยนเลนส์ในที่ซึ่งมีฝุ่นมาก
- ไม่ควรเปลี่ยนเลนส์ในที่ซึ่งมีความชื้นมาก เดี๋ยวความชื้นเข้า
- ไม่ควรเปลี่ยนเลนส์ริมทะเล เนื่องจากลมแรง อาจมีทรายปลิวเข้าไปในกล้องได้


เทคนิคการแพนกล้องขณะถ่าย

** เทคนิคการแพนกล้องขณะถ่าย **

เทคนิคการแพนกล้อง เพื่อถ่ายภาพให้ดูเหมือนกำลังเคลื่อนไหว

วันนี้ผมจะมาแนะนำเรื่องการแพนกล้องตามวัตถุที่กำลังเคลื่อนไหว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตัวแบบหยุดนิ่ง ในขณะที่ฉากหลังเบลอเป็นแนว (เสมือนเคลื่อนไหวอยู่) ลักษณะการเบลอของฉากหลังนี้ ไม่เหมือนกับการเบลอจากการไม่ได้โฟกัสเหมือนที่เราถ่าย Portrait นะครับ ฉากหลังแบบนี้จะออกเป็นแนว ถ้าเกิดมีแหล่งกำเนิดแสง ก็อาจจะลากเป็นเส้นให้เห็นในภาพด้วย

สำหรับวิธีการถ่าย  วิธีง่ายสุด คือหมุนกล้องมาที่โหมด Tv (ตั้งความเร็วชัตเตอร์เอง) อย่างอื่นให้มัน Auto ให้หมด แล้วเวลาถ่าย ให้แพนมือถ่ายในขณะที่กดชัตเตอร์ไปพร้อม ๆ กัน สำหรับกล้องที่ใช้ก็เป็นกล้องอะไรก็ได้นะครับ ที่ปรับค่าความเร็วชัตเตอร์ได้ แต่ถ้าจะให้ดีและง่าย ก็ต้องใช้ DSLR จะเหมาะที่สุดแล้วครับ

EOS 100D, ISO320, ความเร็วชัตเตอร์ 1/10, f/3.2

สำหรับวิธีการตั้งค่าความเร็วชัตเตอร์นะครับ จะแตกต่างกันไปตามความเร็วของวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่ ถ้าเคลื่อนที่เร็ว ก็อาจจะตั้งความเร็วชัตเตอร์ให้สูงหน่อยได้

สำหรับปลาฉลามตัวเล็ก ๆ ที่ว่ายเร็ว ๆ อย่างนี้ ผมแนะนำให้เริ่มที่ 1/10 วินาทีครับ ผมมาบ่อยมากจนจำตัวเลขได้แล้วครับ ถ้าถ่ายไปซัก 3-4 รูปแล้ว ตัวปลาชัดเป๊ะ ตาปลาคมกริบ และฉากหลังเบลอเป็นเส้น ๆ อันนี้ถือว่าใช้ได้ครับ ถ้าถ่ายยังไงไม่ชัดซักที อาจเพิ่มความเร็วชัตเตอร์เป็น 1/15 วินาที แล้วลองใหม่ครับ . . . แต่ถ้าถ่ายไปแล้ว ปรากฏว่าชัดหมดทั้งภาพ ฉากหลังก็หยุดนิ่งไปด้วย ให้ลดความเร็วลงให้ต่ำกว่านี้อีก อาจเป็น 1/8 วินาที หรือ 1/4 วินาที แต่ความเร็วยิ่งช้า ยิ่งทำให้ฉากหน้าชัดเป๊ะยากนะครับ แต่ถ้าทำได้ ภาพจะยิ่งดูน่าสนใจมากขึ้น

สำหรับฉลามตัวใหญ่ ๆ ที่ว่ายน้ำช้า ๆ ไปเรื่อย ๆ อาจใช้ 1/5 วินาทีครับ วันนี้ผมถ่ายมาแต่ฉลามตัวเล็ก ๆ โดยใช้ Speed 1/10s หมดเลยครับ

EOS 100D, ISO 400, ความเร็วชัตเตอร์ 1/10, f/3.2

 

สำหรับการถ่ายภาพแนวนี้สำหรับวัตถุอย่างอื่น ก็เช่น การถ่ายขณะขี่จักรยาน โดยการแพนมือตาม ถ้าจักรยานวิ่งเร็ว ก็อาจใช้ความเร็วที่สูงหน่อย เช่น 1/30 แต่อย่างในภาพ ขี่ช้า ๆ ผมใช้ 1/13s ก็ออกมากำลังดีครับ ภาพอื่นที่ใช้ความเร็วแตกต่างจากนี้ บางทีก็เบลอทั้งภาพ (ลบทิ้งไป) หรือบางทีก็ดูเหมือนหยุดนิ่งทั้งภาพ (ชัดไป ไม่สวย) 

Nikon D800, ISO 200, ความเร็วชัตเตอร์ 1/13, f/1.4

สำหรับการถ่ายรถแข่ง หรือมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งเร็ว ๆ อันนี้เราลอง 1/40 หรือ 1/50 ดูนะครับ ลองไปยืนข้างถนนแล้วก็แพนตามวัตถุถ่ายดู . . . ถ่ายมา 2-3 ก็รู้แล้วครับว่าความเร็วที่เราเลือกนั้น เหมาะกับภาพชนิดนั้นหรือเปล่า

ยังไงเพื่อน ๆ พี่น้องก็ลองไปแพนกล้องถ่ายภาพเล่นกันดูนะครับ ได้ภาพยังไง ผมทำ ชุมชนคนชอบภาพ Motion Blur ไว้ใน Google+ นี่แล้วนะครับ ลองเอาไปโพสต์โชว์กันที่นั่นได้นะครับ

สวัสดีนะครับ


Canon S120

กล้อง Canon PowerShot S120

วันนี้เราจะมารีวิวกล้องคอมแพค Canon PowerShot S120 ซึ่งเป็นกล้องคอมแพคที่มีเซนเซอร์ใหญ่กว่ากล้องคอมแพคธรรมดาทั่วไป ซึ่งรุ่นที่มีเซนเซอร์ใหญ่นี้ ก็มีเพียงตระกูล S กับตระกูล G เช่น G12, G15, G16 เท่านั้น

ถ่ายดอกบัว ด้วย Canon S120

ชื่อเต็ม ๆ ของกล้องตัวนี้คือ Canon PowerShot S120 เป็นกล้องตระกูล S ต่อเนื่องจาก S90, S95, S100, S110S120 จริง ๆ แล้วผมใช้กล้องตระกูลนี้มาตั้งแต่ S45 เมื่อวานนี้เปิดภาพเก่า ๆ 10 กว่าปีที่แล้วมาดู ก็ถือว่าสวยใช้ได้ กล้องรุ่นนี้เป็นกล้องที่มีเซนเซอร์ขนาด 1/1.7 นิ้ว ซึ่งถือว่าใหญ่ที่สุดในตระกูลกล้องคอมแพค (ซึ่งเท่ากับกล้องตระกูล G เช่น G11, G12, G15G16) เอาล่ะครับ พอทราบข้อมูลคร่าว ๆ ของกล้องกันแล้ว

เนื่องจากท้องฟ้าสวยมาก วันนี้เราจะไปวัดด่านกัน อยู่ถนนรัชดาภิเษก เลียบแม่น้ำเจ้าพระยานะครับ ใกล้กับสะพานวงแหวนอุตสาหกรรม ก่อนถึงนิดเดียว

วัดด่าน วันฟ้าใส

วันนี้โหมดที่ใช้มี 3 โหมดคือ โหมด Full Auto (สีเขียว), โหมด P (แล้วชดเชยแสงไปทางลบหรือบวก) และโหมด HDR (High Dynamic Range)


เข้าไปในวัดปั๊ป เจอจุดนี้ ขอลองถ่ายย้อนแสงแบบเต็ม ๆ หน่อย อันนี้ใช้โหมดสีเขียว (อัตโนมัติทั้งหมดไปเลย) ลองดูซิว่า ถ้ากดลูกเดียว ไม่ปรับอะไรเลย ภาพจะออกมายังไง

ภาพก็ออกมาโอเคนะ สวยใช้ได้

ลองถ่ายหลาย ๆ มุมดูบ้าง

การพลิกกล้อง เอียงกล้อง ถ่ายในท่าต่าง ๆ นั้น ทำได้สบายกว่า DSLR เยอะครับ เพราะเบา ไม่หนัก แล้วก็ไม่ต้องมองผ่านช่องมองภาพด้วย ดูจาก LCD ได้เลย


อันนี้เข้าไปไหว้พระใหญ่ แต่เนื่องจากที่วัดเอาผ้าใบสีประหลาด ๆ มาขึงบังแดดไว้ บริเวณนั้นสีจึงเพี้ยนไปหมด สีก็ออกมาอย่างในรูปนี่แหละครับ (ระบบออโต้)


เนื่องจาก S120 เป็นกล้องคอมแพค ดังนั้นจะไปหวังการละลายฉากหลังอะไรต่าง ๆ ไม่ค่อยได้อยู่แล้ว ดังนั้น จึงต้องเล่นกับมุมมอง ที่แปลกตา พยายามหาทั้งฉากหน้าและฉากหลังแปลก ๆ มาใช้ เพื่อทำให้ภาพดูน่าสนใจขึ้น (นิดนึง)

พยายามใช้ใบไม้ และสิ่งต่าง ๆ ช่วยเสริม

ถ่ายไปถ่ายมา เก็บบรรยากาศการหล่อเทียนพรรษาให้ชมก่อนดีกว่า

อันนี้เป็นแท่งหล่อเทียน

มีหม้อต้มเทียนอยู่ตรงกลาง 

อันนี้ใส่ไส้เทียนไว้ตรงกลาง เอาไว้จุด

วิธีการ เราใช้เหรียญเทียนตามปีเกิดเรา

มีให้เลือกทุกปีนะครับ

แบบเป็นแท่งก็มี

นี่เป็นอุปกรณ์ตักเทียนมาหล่อ

ก่อนจะโยนเทียนไปหลอมในหม้อ เขียนชื่อ-นามสกุลก่อน

อันนี้หลวงพี่มาแนะนำขั้นตอนนะขอรับ

นี่เป็นอุปกรณ์ตักเทียนหลอมเหลวมาเทลงไปในที่หล่อเทียน

อีกมุมหนึ่ง

เอาล่ะครับ ไปชมบรรยากาศการหล่อเทียนมาพอสมควรแล้ว คราวนี้ผมจะลุยกลางแดด (เปรี้ยงๆ) ไปทดสอบกล้อง S120 นะครับ


นี่เป็นภาพถ่ายกลางแจ้งสุด ๆ เลยนะครับ สีสดสวยดี เนื่องจากเราใช้กล้องคอมแพค คุณภาพจะสู้ DSLR ไม่ค่อยได้ ดังนั้นจึงต้องทำมุมมองให้แปลกตานิดหน่อย อันนี้ผมถ่ายจากมุมต่ำนิดหน่อยนะครับ (แต่อยู่นานไม่ไหว พื้นร้อนมาก)


ภาพนี้เปลี่ยนโหมดเป็น HDR เพื่อเปิดเงาต่าง ๆ ที่มืดเกินไปให้หมดทุกแห่ง ภาพก็ดูสีสดสวยดี ภาพชัด คม เหมาะสำหรับการลงโซเชียลเน็ตเวิร์กได้สบาย ๆ

ถ่ายจากระยะไกลเข้ามา

ยิงให้ติดบ้านทรงไทยและสะพานแขวนด้วย

มาถ่ายอีกด้าน

ใช้ระยะเทเลถ่ายนะครับ ให้ติดหัวยักษ์ด้านหลัง

พยายามให้ติดหัวยักษ์ด้านหลังอีกภาพ

สีออกมาสดใสดี นี่ใช้ระบบ Auto หมดนะครับ



อันนี้ลงไปนั่งถ่ายเกือบติดพื้น เพื่อให้ภาพอลังการนิดหน่อยเท่าที่สามารถทำได้

หลังจากที่ใช้ถ่ายมาหลายวันแล้ว และถ่ายกันอย่างเต็มที่ ทุกซอก ทุกมุมภายในวัดแล้วนะครับ ผมเขียนสรุปข้อดี ข้อด้อยของกล้อง Canon S120 ไว้ตรงนี้เลยนะครับ

ข้อดีกล้อง PowerShot S120
- เบา สบาย ไม่หนัก
- ซูมได้หลายระยะในตัวเลย
- มีจอหลัง สามารถถ่ายในมุมแปลก ๆ ได้ง่ายกว่า DSLR
- ระบบ Auto ทำงานได้ดี ให้ภาพสีสวย สดใส
- ระบบ Wifi Direct ถ่ายปั๊ป เอาภาพเข้ามือถือปุ๊ป และแชร์ได้เลย
- มีฟังก์ชั่นของเล่นพิเศษในกล้องเยอะ เช่น ฟิลเตอร์แต่งภาพในตัว โหมดดูดสี ฟิชอาย ถ่ายให้เหมือนของเล่น หรือจะเป็น HDR และอื่น ๆ อีกมากมาย

ข้อด้อย
- สถานที่ซึ่งมีแสงน้อย คาดหวังคุณภาพไม่ค่อยได้มาก แต่ก็ดีกว่ากล้องคอมแพคทั่วไปเยอะ
- ภาพไม่คมเท่ากล้อง DSLR ถ้าซูมเข้าไปมาก ๆ จะเห็นชัดเลย
- โฟกัสช้ากว่า DSLR ข้อนี้เป็นกับกล้องทุกประเภท ขนาดพวก Mirrorless ยังเทียบ DSLR ไม่ได้
- ละลายฉากหลังยาก หรือแทบจะทำไม่ได้เลย ดังนั้นถ่ายนางแบบ พริตตี้ แบบเน้น ๆ จะหวังอะไรไม่ค่อยได้

สรุปจากการไปถ่ายครั้งนี้ Canon PowerShot S120 นี่ ก็ถือว่าเป็นกล้องที่ถ่ายสบาย ถ่ายสวย เบา ๆ ไม่ต้องเหนื่อยมากเหมือนพกกล้องใหญ่ สามารถถ่ายในมุมมองแปลก ๆ ได้พอสมควร ถ่ายได้ทั้งระยะซูมและเทเล สบาย ๆ ถ้าเกิดเป็นสถานที่ที่แสงสว่างมากแล้ว ไม่มีปัญหาเลยครับ ถ่ายสวยไม่สวย อยู่ที่มุมมองของเราอย่างเดียวเลย แต่ถ้าจะถ่ายนางแบบหรือสาว ๆ แบบเน้น ๆ แบบสวยเทพ อันนี้คงต้องใช้ DSLR อย่างเดียวแล้วครับ . . .

ภาพดอกไม้ ฉากหลังดำ

การถ่ายภาพฉากหลังดำ

พอดีเพิ่งได้รับช่อดอกไม้แสดงความยินดีมาจากงานเลี้ยง วันนี้ก็เลยถ่ายภาพดอกไม้ฉากหลังดำ และนำมาเขียนบล็อกอธิบายการถ่ายภาพในลักษณะนี้นะครับ ก่อนอื่นผมจะแสดงภาพที่สำเร็จนะครับ ว่าเราจะทำภาพออกมาให้ได้อย่างนี้ เผื่อว่าใครกำลังจะถ่ายภาพขายของในอีเบย์ (ebay) เราทำภาพให้สวยงามโดดเด่น ก็จะมีโอกาสขายของได้ง่ายขึ้นไงครับ การถ่ายภาพให้สวยในอีเบย์ ไม่ได้เป็นการหลอกลวงนะครับ แต่เป็นการดึงดูดให้สินค้าของเราน่าซื้อขึ้นเท่านั้นเองครับ . . . . ถือเป็นเทคนิคอย่างหนึ่งครับ

ภาพที่ 1

ส่วนภาพที่ก่อนปรับแต่ง จะเป็นดังภาพที่แสดงด้านล่างนะครับ

ภาพที่ 2

ที่แตกต่างกันก็คือ ภาพที่ยังไม่แต่ง พื้นหลังจะไม่ดำสนิท และดอกไม้ต่าง ๆ สีจะมืดกว่านิดหน่อย และเห็นแผ่นอะคริลิกที่มาวางสะท้อนแจกันอย่างชัดเจน

ก่อนอื่นผมจะอธิบายตั้งแต่การตั้งค่ากล้องเลยนะครับ ในที่นี้ใช้กล้อง EOS 5D Mark III + EF 70-200 f/4L IS + แฟลชโนเนมอีกตัวนึงนะครับ ที่ใช้เลนส์เทเล เพราะว่าต้องการให้แจกันสมส่วน ไม่ผิดเพี้ยนจากเลนส์ไวด์ ก็เท่านั้นครับ

การตั้งค่ากล้อง


  • ISO = 100 ตั้งค่าให้ต่ำเข้าไว้ เพื่อให้คุณภาพดีที่สุดนะครับ
  • Aperture = f/10 เพื่อให้ชัดลึกนะครับ คือให้ชัดทั่วทั้งดอกหน้า และป้ายคำว่า Congratulations
  • ความเร็วชัตเตอร์ = 1/200 วินาที
  • ทางยาวโฟกัส ปรับที่ระยะ 100 มม. (เท่ากับเลนส์มาโครพอดี)
  • ความแรงแฟลช ผมตั้งไว้ที่ 1/32 นะครับ กลาง ๆ อยากลองแฟลชโนเนมว่าจะสู้แฟลชค่าย 580 EX II ได้ไหม จริง ๆ แล้ว ถ้าเราตั้งระบบทุกอย่างเป็นแมนนวล ผมว่าความสามารถก็ไม่หนีกันเท่าไหร่ครับ

บรรยากาศการถ่าย จริง ๆ แล้ว ตอนที่ถ่าย ฉากหลังก็ไม่ได้มืดมากนะครับ แต่พยายามหาบริเวณที่มืดที่สุดในบ้านแล้วครับ แล้วก็ฉากหลังทิ้งระยะห่างจากแจกันเยอะพอสมควร (ประมาณ 2 เมตร) เพื่อให้แฟลชวิ่งไปไม่ทันที่จะกลับมาสะท้อนเข้ากล้องอีกรอบนึงครับ

พอถ่ายออกมาปั๊ป ก็ได้ภาพอย่างที่เห็นข้างบน (ภาพที่ 2) เมื่อได้ภาพมาแล้ว ผมก็จัดการปรับบริเวณชาโดว์ให้มืดลงไปอีกนิดหน่อย เพื่อทำให้บริเวณฉากหลังดำสนิท และปรับบริเวณมิดเดิลโทนให้สว่างขึ้นมานิดนึงครับ เพื่อให้สีสันของดอกไม้ดูสดขึ้น จะได้ดูสบายตา

จากนั้นบริเวณที่เป็นอะคริลิกด้านล่าง ให้ใช้เครื่องมือ Clone เพื่อโคลนบริเวณข้าง ๆ มาปิดทับเส้น สรุปว่าแต่งภาพนี้ไป 2 นาทีเสร็จครับ ก็จะได้ภาพอย่างภาพบนเรียบร้อยแล้วครับ

เป็นยังไงบ้างครับ การถ่ายภาพดอกไม้ โดยให้มีฉากหลังเป็นสีดำ ก็มีวิธีการไม่ยาก ตามที่อธิบายมานี่แหละครับ ยังไงว่าง ๆ ก็ลองทำกันดูนะครับ . . สวัสดีครับทุกท่าน


การถ่ายภาพให้ฉากหลังขาว

การถ่ายภาพฉากหลังสีขาว

หลายคนคงเคยเห็นภาพที่มีตัวแบบ แล้วก็มีฉากหลังเป็นสีขาว ซึ่งการถ่ายภาพในลักษณะนี้ มีประโยชน์สำหรับใช้ในหลายสถานการณ์ด้วยกัน ตัวอย่างเช่น
  • การถ่ายภาพติดบัตร ไม่ว่าจะติดใบขับขี่ พาสปอร์ต ขนาด 1 นิ้ว, 2 นิ้ว อะไรทำนองนั้น
  • ถ่ายภาพทำวีซ่า โดยเฉพาะวีซ่าอเมริกา ต้องฉากหลังขาวสนิทเลย ไม่งั้นไม่ผ่านนะครับ
  • ถ่ายภาพเพื่อลงประกอบในเว็บ ที่เห็นภาพผู้สอน ปรากฏในบริเวณต่าง ๆ ในหน้าเว็บ
  • ไดคัทภาพ เพื่อนำไปตัดแปะในที่ต่าง ๆ เช่น หนังสือ นิตยสาร หรือนำไปซ้อน ๆ กันในฉากที่ต้องการ เป็นต้น
ภาพที่มีฉากหลังเป็นสีขาวนี้มีประโยชน์ในการนำไปใช้งานต่อยอดมาก เพราะถ้าฉากหลังเราเป็นต้นไม้ หรือวัตถุอื่น ๆ ซึ่งอาจมีสีที่เหมือนกับเสื้อผ้า หรือผม การที่จะตัดภาพเฉพาะตัวแบบไปใช้งานนั้น ทุกครั้งจะมีฉากหลังที่เราไม่ต้องการติดไปด้วย การใช้คุณสมบัติต่าง ๆ ของโปรแกรมแต่งภาพ เช่น Photo Shop เช่น Magic Wand ก็อาจใช้ไม่ได้ผลเท่าไหร่ หากต้องการใช้จริง ๆ ต้องมานั่งเสียเวลาไดคัทแบบแมนวล ซึ่งใครเคยทำงานพวกนี้ก็จะทราบว่า หากแต่งให้เนียน ๆ นั้น เสียเวลามากเหลือเกิน . . . 


วิธีการถ่าย

สำหรับการถ่ายภาพในลักษณะนี้ สามารถทำได้หลายวิธีด้วยกัน สุดแต่ที่ช่างภาพแต่ละคนจะมีเทคนิคในการพลิกแพลงของตัวเอง วันนี้ ผมจะมาเล่าให้ฟังถึงวิธีการคร่าว ๆ ของการถ่ายภาพโดยให้ฉากหลังเป็นสีขาว
  • การถ่ายในสตูดิโอ หากมีสตูดิโอสำหรับถ่ายโดยเฉพาะ เหมือนกับร้านถ่ายรูป ก็ทำได้ง่ายมากเลย เพียงแค่ใช้ฉากหลังสีขาว แล้วก็ยิงแหล่งกำเนิดแสงแรกใส่ฉากหลัง แหล่งกำเนิดแสงด้านซ้าย ด้านขวา ด้านหน้า สะท้อนทุกทิศทาง ถ่ายภาพยังไงฉากหลังก็ออกมาขาวจั๊วอยู่แล้ว พร้อมที่จะใช้งานได้ทันทีเลยครับ
  • การถ่ายนอกสตูดิโอ หากไม่มีสตูดิโอ และไม่มีอุปกรณ์มากมาย จะทำได้ยังไง สำหรับกรณีนี้ ผมขอแบ่งเป็น 2 กรณีแล้วกันครับ คือใช้แฟลช กับไม่ใช้แฟลชครับ
  • การถ่ายภาพให้ฉากหลังขาวโดยใช้แฟลชช่วย สามารถเลือกหาสถานที่ของฉากหลังซึ่งเป็นสีอ่อน เช่น สีฟ้า สีครีม หรือสีอะไรก็ได้ ที่สีไม่เหมือนเสื้อผ้า และสีไม่เข้มเหมือนเส้นผม จากนั้นใช้แฟลช 2 ตัว ตัวแรกยิงไปที่ฉากหลัง โดยเปิดความแรงแฟลชให้มาก ๆ หน่อย ความแรงของแฟลชจะเปลี่ยนสีอ่อน ๆ ของผนังให้กลายเป็นสีขาวโดยอัตโนมัติ เมื่อเจอแฟลชแรง ๆ ยิงเข้าใส่ ส่วนแฟลชอีกตัว ก็ยิงเบา ๆ เข้าที่ใบหน้าของตัวแบบ เพื่อลบเงามืดต่าง ๆ บนใบหน้าเท่านั้นเอง
5D Mark III + EF 85 1.2L II
การตั้งค่า: ISO 100, Aperture 2.8, Speed 1/200s, no Flash
  • การถ่ายภาพให้ฉากหลังขาวโดยไม่ใช้แฟลช ซึ่งวิธีนี้อาจต้องถ่ายย้อนแสงมาก ๆ หน่อย พยายามหามุมที่ไม่มีวัตถุสีเข้ม ๆ อยู่ข้างหลังตัวแบบ แล้วก็ปรับค่ากล้อง โดยการวัดแสงให้พอดีที่หน้าตัวแบบ ถ้าเป็นการย้อนแสงแรงมาก ๆ ฉากหลังก็จะขาวไปเอง . . . อนึ่ง หากมีผ้าขาว หรือกระดาษสีขาวแผ่นใหญ่ ๆ ซึ่งไม่ต้องเรียบ ก็สามารถนำมาวางเป็นฉากหลังได้เหมือนกันนะครับ โดยแสงอาทิตย์จะส่องทะลุผ่านผ้าขาวมาได้บางส่วน และเราก็ปรับแสงโดยการถ่ายย้อนแสงจากข้างหน้าไป ซึ่งแสงจากข้างหน้าที่เข้าตัวแบบ อาจเป็นแสงประดิษฐ์ เช่น หลอดไฟในบ้าน หรืออะไรก็ตาม หรืออาจใช้รีเฟล็กเตอร์เพื่อทำการสะท้อนแสงก็ได้  
5D Mark III + EF 85 1.2L II
การตั้งค่า: ISO 100, Aperture 2.8, Speed 1/250s

5D Mark III + EF 85 1.2L II
การตั้งค่า: ISO 100, Aperture 2.8, Speed 1/125s

จากภาพล่างสุด จะเห็นว่าสีฟ้าของผนังยังคงมีเหลืออยู่เล็กน้อย พอมองเห็น วิธีการก็คือ เข้าไปปรับสีที่ Advanced Color แล้วลด Saturation ของสีฟ้าให้ต่ำที่สุด สีฟ้าก็จะหมดไปจากภาพ ดังแสดงในภาพด้านล่าง


ส่วนพวกรอยดำ ๆ ด่าง ๆ ที่ปรากฏบนกำแพง ก็ใช้เครื่องมือจำพวก Repair ซึ่งมีอยู่ในเกือบทุกโปรแกรม เพื่อลบจุดเหล่านั้นออกไป แล้วท้ายที่สุด ผมก็ใช้เครื่องมือเกี่ยวกับ Lighting เพื่อเร่งแสงบริเวณ Highlight ให้สว่างขึ้นไปอีกนิดนึง เพื่อทำให้ฉากหลังขาวขึ้นอีกหน่อย ก็จะได้ภาพดังแสดงด้านล่าง ทั้งหมดตกแต่งด้วย ACDSee นะครับ ไม่ได้ใช้ Photoshop แต่อย่างใด

ถ้าใครเก่ง Photoshop ภาพนี้ก็สามารถแต่งได้ง่าย ๆ ด้วยวิธีการที่คล้ายกัน ไม่เกิน 2 นาทีเสร็จเรียบร้อยครับ . . . . ยังไงเพื่อน ๆ ก็ลองดูนะครับ แล้วจะเห็นว่า ไม่ยากเลย